วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนังโปรด 2 The old boy


ที่จริงแล้วมันควรเป็นแค่คืนฝนตกธรรมดาๆคืนหนึ่งของโอแตซู
เขาเมาอาละวาด ถูกจับมาโรงพัก
พอสงบสติอารมณ์ได้ก็รีบโทรหาลูกสาวบอกว่าซื้อปีกนางฟ้ามาให้เป็นของขวัญวันเกิด
แต่ใครจะเชื่อว่าหลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปชั่วกัปชั่วกัลป์
เมื่อเขาถูกลักพาตัวไปขังไว้ในห้องเล็กๆโดยมีเพียงทีวีเป็นเพื่อน
มองดูข่าวเมียตัวเองถูกฆ่าโดยมีตัวเองเป็นผู้ต้องหา
พยายามฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขียนบันทึกรายชื่อคนทั้งหมดที่เขาเคยก่อเรื่องไว้
บ้าคลั่งอยู่กับความแค้นเป็นเวลายาวนานถึง 15 ปี
แล้วจู่ๆวันหนึ่ง
เขาก็ถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกับเงินเต็มกระเป๋าและโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งและความแค้นแน่นอก
ออกตามหาคนที่ทำเขาอย่างไร้ทิศทาง
ได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวในร้านซูชิ
ตะลุยกับทุกผู้คนราวกับว่า เป็นปีศาจ
จนกระทั่งได้รับข้อเสนอจากคนที่จับเขาไปขังไว้
ให้ตามหาว่าทำไมเขาจึงต้องถูกจับมาขังภายใน 5วัน
ถ้าหาพบชายผู้นั้นจะฆ่าตัวตาย
แต่ถ้าไม่พบชายผู้นั้นจะฆ่าทุกคนที่เขารัก
จากนั้นหนังเต็มไปด้วยพลอตหักเหมากมายที่ไม่อาจเล่าได้
เพราะสิ่งที่สำคัญคือความช๊อคของคนดูจากเหตุการณ์ทั้งหมด
ก่อนจะแปรเป็นความหมองหม่นหดหู่เมื่อหนีงดำเนินมาถึงบทสรุป
................................................
และภายใต้ฉากหน้าของหนังแอคชั่นเลือดเดือด (ที่พนันได้ทันทีว่าต้องเลือดเดือดแน่เพราะสร้างจากการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อเดียวกัน)
เลือดเดือดประมาณว่า มีฉากกินปลาหมึกสดๆ ถอนฟันด้วยค้อน ตัดลิ้น(แม้ฉากนี้จะไม่จะๆตาเท่ากับichi the killerแต่ก็ดีกรีความโหดก็ไม่ยิ่งหย่อน)
รวมไปถึงฉากแอคชั่นlong takeของพระเอกที่มีเพียงค้อนเป็นอาวุธ(แถมโดนมีดปักกลางหลังอีกต่างหาก)กับพวกนักเลงนับสิบ
หนังของ ปาร์ค ชัง วุก(ผู้กำกับ JSA และSympathy for Mr. Vengeance) เรื่องนี้กลับว่าด้วย
กับดักของความทรงจำ และผลพวงแห่งความคับแค้น
โดยมากกับมนุษย์ ความทรงจำมักมีแต่เรื่องสวยงาม
เพราะเวลาจะลบเลือนเลื่อนสลายทุกขมขื่นของชีวิต
เพื่อพอจะให้เราเดินต่อไปปข้างหน้าได้
แต่กับบางคน และความทรงจำเลวร้ายบางประเภท
เวลากลับทำหน้าที่ในการหมักบ่มให้ความทรงจำกลายเป็นความเกลียดชัง และความแค้น
ในช่วงแรกมุมมองของคนดูจะถูกเล่าในข้างของโอแตซู
ความแค้นที่ผ่านการหมักบ่มในห้องแคบ 15 ปีถูกถ่ายทอดให้คนดูรับรู้และเข้าข้างอย่างเต็มที่
30นาทีแรก เราแค้นไปพร้อมเขา
ฉากแอคชั่นในช่วงนั้นจึงเต็มไปด้วยความรุนแรงและความสะใจ
ก่อนที่เราจะได้รับรู้ความแค้นของวูจิน ศัตรูของแตซู
ความแค้นที่เกิดจากการหมักบ่มความทรงจำในระยะยาวเฉกเช่นกัน
และผลพวงแห่งความคับแค้นไม่ใช่อื่นใดนอกจากฉากแอคชั่นน่าสมเพชในช่วงท้ายของหนัง(ซึ่งต้องขอบคุณ ชอย มินซิก ที่เล่นได้แบบ-ถึง-จริงๆ)
ความทรงจำเหมือนกรงขัง
หนังขังตัวละคร(ผู้ติดกับความทรงจำ)ไว้ในห้องแคบๆตลอดเวลา
แน่ล่ะ 15ปีในห้องของแตซุ
และเช่นกันกับฉากอพาร์ทเมนท์สุดหรู(ที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยกรอบสี่เหลี่ยม)ของวูจิน
แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อหนังต้องย้อนลึกเข้าไปในฉากแห่งความทรงจำนั้น
หนังกลับเลือกภาพสวยงามอ่อนนุ่ม(แม้แต่ฉากความตายยังอบอุ่นงดงามและเต็มด้วยความเข้าใจ)
ราวกับหนังจะบอกว่า ความทรงจำนั้นเป็นเรื่องดี แต่การยึดโยงอยู่กับมันกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม
ในขณะที่ตัวละครมิโตะกลับต่างออกไป
มิโตะไม่มีความทรงจำใดๆให้ยึดโยง
เพราะแม้แต่กับเรื่องราวในชีวิตมันก็ยังดูคลุมเครือเลื่อนลอยและไม่สลักสำคัญอะไร
เธอมีเพียงแตซูเท่านั้นที่เป็นหลักยึด
และพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่กับเขา(โทรไปลาออกจากร้าน ร่วมหัวจมท้ายไปกับเขารวมไปถึงชวนเขาหนีไปจากเรื่องทั้งหมด)ซึ่งเป็นเสมือนปัจจุบันของเธอ
ห้องของมิโตะจึงเต็มไปด้วยลวดลายสีสัน
และเธอจึงเป็นคนเดียวที่ไม่รู้-ความลับ-ทั้งหมด(ที่ไม่รู้จะดีกว่า)
และตลอดเวลาหนังพูดถึงการสะกดจิตอยู่หลายครั้ง
และหนังบอกเราว่าบางครั้งการสะกดจิตไม่ได้เกิดจากผู้อื่นสะกดจิตเราเสมอไป
มันเกิดจากการที่เราสะกดจิตตัวเองด้วยความทรงจำทับซ้อนที่บิดเบี้ยว
เราเลือกเชื่อในสิ่งที่อยากจะเชื่อ(เหมือนที่วูจินเชื่อ) และนั่นไม่ต่างอะไรกับการสะกดจิตตัวเอง
(คนดูเองก็ถูกสะกดจิตให้เชื่อในความแค้นของแตซูในช่วงแรกเช่นกัน)
และเมื่อบทสุดท้ายของหนังลงเอยด้วยการสะกดจิตอีกครั้ง
หนังก็หยิบประโยคเด็ดในเรื่องมาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะ
-ไม่ว่าผมจะเลวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ผมก็มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตไม่ใช่หรือ-
การอยู่กับความแค้นไม่ให้อะไรใคร การปลดปล่อย-ปีศาจ-ในตัวออกไปต่างหากที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้
และนั่นคือวิธีการอยู่ร่วมกับมันอย่างสันติ ออกจากรงของความทรงจำจริงๆ(ไม่ใช่ออกไปเจอกรงของความแค้นที่ใหญ่กว่าเหมือนที่แตซูเจอในช่วงแรกของหนัง)
มีชีวิตเพื่อวันข้างหน้าที่มันต้องดีกว่าเดิม ถูกต้องกว่าเดิม (Flim sick)

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนังเรื่องโปรด 1 "เฉิ่ม"




ญ.โอ้ความรักเอย สุดชื่นสุดเชย สุดจะเฉลยรำพัน
ช. รักเจ้าเฝ้าแต่ฝัน ผูกพันรักพี่กระสันต์คอยหา

ในรถแท๊กซี่ เลขทะเบียน ทน. 2514 เพลงเก่าอบอวลลอยล่อง
โดยมีแสงไฟเรื่อเรืองของเมืองใหญ่ เริงระบำตามจังหวะเก่าแก่
ถนนทอดยาวมืดดำผู้คนต่างใช้ชีวิตไปตามเส้นทางของตน ขึ้นและลงรถของสมบัติ ดีพร้อม
แต่ภายในรถกลับหยุดชีวิตของตนเอาไว้ในโลกของเพลง สุนทราภรณ์ รายการวิทยุเอเอ็ม เกาเหลาเลือดหมู และครีมใส่ผมสกายแล็บ
ในบางค่ำคืนที่ถนนร้างผู้คน สมบัติก็รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกนี้
มีเพียงรายการเก่าแก่ที่ฉุดดึงเขาไว้ไม่ให้ลอยออกไปนอกโลก
จนกระทั่ง นวล ก้าวขึ้นรถแท็กซี่ของเขา

ญ. พี่คอยน้องคอย ต่างคนต่างคอย แต่บุญเราน้อยนักหนา
ช. คอยเจ้าเจ้าไม่มาเจ้าหนีหน้าแก้วตาหนีพี่ไป

นวลพบสมบัติครั้งแรก ตอนกำลังมีเรื่องกับผู้ชายคนหนึ่งเธอเปิดประตูแล้วแต่ก็ไม่ได้ก้าวขึ้นรถของเขา
นวลเป็นหมอนวดในคลับเดอะพาเลซ เธอเพิ่งมาทำงานไม่นาน และบอกตัวเองว่าจะไม่ร้องให้อีกแล้ว
ท่ามกลางเพื่อนร่วมอาชีพ แขก และ ปลายสายที่โทรมาขอเงิน นวลรู้สึกเหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า เจ็บปวดเกินกว่าจะกล่าวคำใดๆได้
เว้นแต่ค่ำคืนเงียบเชียบคืนหนึ่งในรถแทกซี่แปลกหน้าและบทเพลงอันล่วงพ้นไปเนิ่นนานแล้ว

- ญ. รักพี่สุดที่อาวรณ์รักจรจำไกล
ช. อย่าเลยอย่าไป พี่หวงดวงใจ ขอให้พี่ได้เคียงครอง
ญ. พี่ปองน้องปองห้องหอ น้องจะไปรอ คู่คลอหอห้อง
ช.ญ.พี่ปองน้องปอง ต่างคนต่างปอง แล้วพี่จะครองคู่เอย -*1


บนรถแทกซี่ เพลงของสมบัติ ปลอบประโลมจิตวิญญาณของนวล
และ ความมีอยู่ของนวล ทำให้โลกของสมบัติ เริ่มหมุนเชื่องช้าอีกครั้ง
.

เพลงรักอันล่วงพ้น

-ถ้าค้นพบสิ่งเรารักแล้ว เราจะสามารถหยุดอยู่กับมันโดยที่ไม่หมุนไปตามโลกได้หรือเปล่า * 2
นี่คือโจทย์หลักของหนังเรื่องนี้จากปากคำ ของ คงเดช จาตุรนต์รัศมี ผู้กำกับ


ในโลกของสมบัติ กลังจากผ่านพ้นเรื่องเลวร้าย เขาค้นพบโลกเล็กๆหนึ่งใบในรายการวิทยุของ วทพ. และรายการเพลงเก่าของ คุณอา ธรรมรงค์ ที่เขาเพียรเขียนจดหมายถึง สมบัติยินดีจะปล่อยให้โลกทั้งใบหมุนผ่านหน้าเขาไป โดยไม่ใยดีอันใด เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีคนรัก กระทั่งผู้โดยสารเขายังขอเชิญลงจากรถเพราะส่งเสียงรบกวนละครวิทยุของเขา
จนกระทั่งนวลหลงทางจากโลกข้างนอกพลัดหลงเข้ามาในโลกของเขา อาจเพราะโลกของสมบัติหมุนช้า นวลจึงสัมผัสถึงมันได้
หนังไม่ได้บอกว่านวลกับสมบัติ รักกัน หรือไม่ เราอาจเห็นทั้งคู่ไปเที่ยวด้วยกัน อยู่ร่วมกันในห้วงเวลาดีงาม เป็นเสมือนไหล่ให้พักพิงกันและกัน หากแต่เราไม่อาจระบุว่านวลรักสมบัติหรือไม่ เธออาจขอให้เขากอดเธอ หรือพาเธอหนีงาน แต่นั่นอาจเป็นเพียงความเดียวดายในค่ำคืนเปลี่ยวร้าง โลกของสมบัติอาจขยับเคลื่อนจนเขายอมลงทุนไปกับบริษัท ฟิวเจอร์ เพอร์เฟคท์ เพื่อหาทางช่วยนวล แต่นั่นอาจเพียงเพราะเขาสงสารหญิงสาวตัวเล็กที่มักหลับในรถของเขา และ เป็นคนเดียวที่รับรู้โลกของเขาก็เป็นได้


การถ่ายฉากความคิดของสมบัติออกมาเป็นละครวิทยุ ทำให้หนังดูน่าขันแต่มันก็ค่อยๆแสดงให้เห็นถึงวิธีคิดของสมบัติที่ต้องยึดโยงตัวเองเข้ากับโลกเก่าในนิยาย ซึ่งมักเล่าเรื่องของความดีงาม (อย่างเชยๆ) ซึ่งให้ทั้งความน่ารักน่าชังและมิติของตัวละคร (ไม่นับรวมถึงว่านี่เป็นหนังอีกเรื่องที่คารวะ หนังไทยสมัยเก่าที่แสนจะ-เฉิ่ม)


ความคลุมเครือในความสัมพันธ์ของสมบัติกับนวล ทำให้หนังอ่อนละมุนไปด้วยโมงยามแห่งความดีงาม (หนังถ่ายภาพความงดงามอันถูกละเลยอย่างเช่น เงาแดดกระทบน้ำที่สะท้อนบนหลังคารถแทกซี่ หรือ พวยควันจากหม้อต้มเกาเหลา หรือภาพ แมวเซาบนซอกตึก ได้อย่างดงาม ) สำหรับคนตัวเล็กๆทั้งคู่ในสังคมที่กว้างใหญ่ไพศาลหากบีบคั้นใบนี้

เงาแดด พวยควัน และแมวเซา

ภายใต้ฉากหน้าของการเป็นหนังรัก หนังซ่อนนัยยะพูดถึง โลกของคนตัวเล็ก- ไว้ได้อย่างน่าสนใจ ในโลกของสมบัติ กับนวล (และตัวละครอื่นๆ) ทุกคนล้วนดิ้นรนอย่างยากลำบากในโลกของตัวเอง หนังสะท้อนความบีบคั้นของสังคม ไว้อย่างหนักหน่วงผ่านทางเรื่องเล่าของสมบัติ และ น้าหมู กับบริษัท ฟิวเจอร์ เพอร์เฟคท์ -เพื่ออนาคตที่ดีกว่า- ในโลกที่หมุนเร็วรี่(ถ้าสำนวนของสมบัติต้องบอกว่าราวกับติดจรวด) ผู้คนล้วนแต่มุ่งมองไปสู่ อนาคต อนาคตที่ดีกว่า อนาคตที่เอาเข้าจริงไม่ได้ดีกว่า และอาจไม่กระทั่งมีอยู่จริง ในขณะที่นวลก็ดิ้นรนเพื่อคนที่อยู่ข้างหลัง ซึ่งไม่เคยหยุดร้องขอและนวลไม่เคยปฏิเสธ ในขณะที่คนอย่างต้อย คู่กะกลางวันของสมบัติ ดูจะเป็นตัวแทนคนร่ำรวยที่ที่แท้กลับหลอกลวงกลิ้งกลอก ในโลกที่การทำความดีล้วนชักนำไปสู่เรื่องเลวร้ายและการกลายเป็นคนโง่เง่า หรือที่จริงความดีไม่มีอยู่ และคนอย่างสมบัติ ดีพร้อมที่แท้เป็นเพียงตัวโง่งมเท่านั้น

สถานีที่ไม่มีอยู่ ความดีไม่มีอยู่จริง

-จำไว้นะ อย่าหยุดดี ลุง เอื้อ บอกกับ สมบัติ ตอนที่สมบัติเก็บกระเป๋าเงินได้แล้วนำไปคืนตำรวจ ลุงเอื้อ (อาทร ) เจ้าของกระเป๋า ควักเงินให้ตอบแทนความดีของสมบัติ หากแต่ในค่ำคืนนั้นสมบัติก็ถูกจี้
สมบัติเป็นคนดี ไม่เคยกินอะไรนอกจากโบตัน หากถูกตำรวจจับด้วยเรื่องของยาบ้าหลังรถและ ถูกขุดค้นอดีต เรื่องการฆ่าคนตาย
สมบัติอยากช่วยนวลให้พ้นจากความทุกข์ยาก แต่กบลับถูกบริษัทหลอกลวงจนหมดตัว
ลุงเอื้อกลายเป็นชายแก่วิปริต
สถานีวิทยุที่สมบัตินับเป็นเพื่อนคนเดียวบนโลก ที่แท้กลับเป็นเพียงเทปออกอากาศ และจดหมายในซองสีชมพูจ่าหน้าเรียบร้อยของเขาไม่เคยไปถึง คุณอาธรรมรงค์แต่อย่างใด

หรือความดีไม่มีอยู่จริง เพราะที่สุดสมบัติกลายเป็นไอ้ขี้คุกซ้ำซ้อน และนวลกลายเป็นเมียน้อยตกอับ
ความดีไม่มีอยู่ เป็นความจริง หรือ!

สุนทราภรณ์ และ เอื้อ อาทร

และหากแทนค่าโลกใบเก่าของสมบัติด้วย เพลงสุนทราภรณ์ ละครวิทยุ บทกลอน และสถานีเพลงเก่าแก่ โลกที่เหมือนหลุดมาจากพศ.อื่น โลกใบเก่าเหล่านั้นใช่หรือไม่ที่เป็นตัวแทนของความดีงาม ความดีงาม แบบที่ลุงเอื้อพูดซ้ำๆ ตอนที่กำลังข่มขืนสมบัติ ดีซ้ำสอง ดีซ้ำสาม ดับเบิ้ลดี !


การให้ลุงเอื้อ ที่ มีหน้าตาละม้ายครูเอื้อ สุนทรสนาน มากระทำการแบบนั้นอาจทำให้หลายคนถึงขั้นช๊อค รับไม่ได้ หากที่แท้ นี่คือการแทนค่า เพื่อเสียดเย้ยคุณค่าดีงามเก่าแก่ได้อย่างรุนแรงและเจ็บปวดมาก เพราะหากลุงเอื้อมีค่าแทน ทั้งสุนทราภรณ์และความดีงามแก่ ใช่หรือไม่ ที่ที่แท้ทั้งสองสิ่งได้ตายไปแล้ว เหลือเพียงซากร่างที่พยายามดิ้นรนจะมีชีวิตอยู่ ซ่อนตัวเองไว้ภายใต้ฉากหน้าสวยสะของการหวนไห้อดีต(อดีตที่มักถูกยกยอปอปั้นให้เป็นของเลิศเลอ ดีงาม ) และอ้างความดีงามเป็นเกราะกำบัง
ลุงเอื้อ (การให้ลุงเอื้อ มีชื่อว่า เอื้อ อาทร ไม่ได้เป็นเพียงมุก เพราะการกระทำในตอนท้ายของลุงเอื้อ เสียดสีภาวะ เอื้อ อาทร ที่กลายเป็นประเด็นหลักของรัฐบาลสมัยปัจจุบัน) บอกว่าตัวเองเป็นเพียงคนแก่ที่ดิ้นรน ไม่อยากจะตาย (การทำให้แกมีเครื่องช่วยชีวิตยึดโยงร่างกายเต็มไปหมดเป็นการพยายามยืดชีวิตที่ชวนสยองมากๆ) ละม้ายคล้ายกับการดิ้นรนของเพลงเก่ายุคสุนทราภรณ์ ตัวเพลงแท้ๆนั้นเป็นอมตะแน่เท้อย่างไม่ต้องสงสัย (ความไพเราะของเพลงในเรื่องยืนยันสิ่งนี้เป็นอย่างดี) หากแต่การดิ้นรนจะเอาตัวรอดในยุคสมัยถาโถมของเพลงตะวันตก บางผู้คนจากยุคสมัยของสุนทราภรณ์ กลับเลือก เชิดชูให้ค่าเพลงเหล่านี้ และดูถูกเหยียดหยาม คนที่ไม่ชอบเพลง ถึงขั้นกล่าวหาการไม่อนุรักษ์วัฒนธรรมกันเลย เฉกเช่นความดีงามจากปากของลุงเอื้อ ที่ยิ่งพูดก็ยิ่งลดค่าความดีงามลง ความดีงามที่สุดกลับกลายเป็นเพียงเรื่องยกมาให้เหตุผล และชักนำเรื่องเลวทรามต่ำช้า มาสู่เรา


แต่ความดีงามก็เป็นเช่นเพลงของสุนทราภรณ์ เลยพ้นไปจากการอ้างถึงที่ลดทอนคุณค่า ความดีงาม ยังคงดีงามเสมอ แม้มันจะเลยพ้นล่วงสมัยแล้ว เพราะความดีงามไม่มียุคสมัย ไม่ใช่หมายความว่าเป็นนิรันดร์ แต่หมายความว่ามันสามารถดำรงคงอยู่ในทุกยุคสมัยต่างหาก


รายการวิทยุ กับซีดี

ร้านอาหารที่สมบัติชอบไปนั่ง (และพานวลไปในครั้งหนึ่ง) มีชื่อว่า- ลีลาศนิรันดร - สติกเกอร์บนเบาะรถของสมบัติ เขียนว่า รักแท้ทนทานเหนือกาลเวลา หากแต่ไม่มีสิ่งใด นิรันดร หรืออยู่เหนือกาลเวลา กระทั่งบทเพลงเก่าแก่ และละครวิทยุนั้นที่แท้ก็ล่วงพ้นสมัยไปแล้ว ร้านลีลาศปิดตัวลง และ สติกเกอร์ลบเลือน ตอกย้ำความไม่เที่ยงแท้เป็นนิรันดร์ของโลก


หากแต่ใช่จะมีเพียงรายการวิทยุเท่านั้นที่จะฟังเพลงสุนทราภรณ์ได้


ในตอนท้าย จู่ๆหนังก็พูดถึงการประชุมเทคโนโลยีที่จัดขึ้นในเมืองไทย เหตุการณ์อาจถูกบอกเล่าแบบผ่านๆ ตัดสลับกับภาพของสมบัติในร้านซ่อมเครื่องไฟฟ้า ราวกับจะเสียดเย้ย เมื่อถ้อยคำบอกว่า ผู้มีความสามารถทางคอมพิวเตอร์จะมีโอกาสดีขึ้น (และหนังยังเสียดสีซ้ำสองด้วยการให้สมบัติต้องใช้เครื่องช่วยฟัง เพื่อที่จะได้ยินเสียง ซึ่งนั่นรวมถึงเพลงสุนทราภรณ์ที่เขารักด้วย)
นวลซื้อซีดีให้เขาไว้แต่เขาไม่เคยได้ฟัง เพราะในโลกของสมบัติเขามีเพียงรายการวิทยุ หากแต่ เมื่อวิทยุเป็นเพียงสิ่งลวงตา ก็ใช่ว่าโลกเก่าของเขาจะต้องดับสูญ เพลงในซีดี ไม่ใช่เพียง มีขึ้นเพื่อสร้างสถานการณ์เท่านั้น มันยังเป็นการบอกด้วยว่า ในโลกของเทคโนโลยี (การประชุมเทคโนโลยี) ความดีงามที่แท้ (เพลงของสุนทราภรณ์) ยังคงมีที่ทางของมันอยู่ แต่นั่นไม่ใช่เพราะมันเหนือกาลเวลาหรือเป็นนิรันดร์ (เพราะโลกนิรันดร์ เช่น โลกในรถของสมบัตินั้นก็ไม่มีจริง) หากเพาะมันดีงาม(เหมือนความไพเราะของเพลงต่างหาก) ไม่ต้องวิทยุ ก็เป็นซีดี และเรามีร้อยพันวิธีที่จะเป็นคนดี ในโลกที่มุ่งไปสู่ฟิวเจอร์เพอร์เฟคท์นี้ ให้โลกดีงามในเราหมุนช้าไปกับโลกข้างหนาโดยไม่ถูกหมุนเหวี่ยงออกไปในอวกาศ หรือถูกบดขยี้จนแหลกสลาย

คงเดช จาตุรนต์รัศมี ยังคงนำเสนอเรื่องใหญ่สอดใส้ไว้ในเรื่องเล็กๆได้อย่างน่าสนใจ ในครั้งสยิว เขาเล่าเรื่องของเด็กหญิงในแวดวงหนังสือโป๊ ที่ซ่อนนัยยะช่วงภาวะการเมือง ในยุคสมัยของรสช. ไว้ได้อย่างน่าสนใจ และในครั้งนี้ก็เช่นกัน เขายังคงใช้หนังวิพากษ์ วิจาร์ณสังคม ด้วยลีลานุ่มนวล(อาจซับซ้อน) อย่างน่าสนใจมากๆ ประกอบกับการได้นักแสดง อย่าง หม่ำ ที่พลิกบท ได้จนน่าทึ่ง(สังเกตเอาว่าเสียงหัวเราะขำหม่ำค่อยๆลดลงไปเมื่อหนังดำเนินไปข้างหน้า ) ในขณะที่วรนุช วงศ์สวรรค์ ก็ให้การแสดงที่เป็นแสงสว่างของหนังในทุกฉากที่เธอปรากฏตัว (แต่หากจะว่าไป นี่คือมาตรฐานระดับเดียวกับที่เธอเคยให้ไว้ในการแสดงละครช่องเจ็ด)


และที่ต้องขอบคุณมากๆ คือการเลือกใช้เพลงของสุนทราภรณ์ในหนัง ที่ได้พิสูจน์คุณค่าของเพลงโดยไม่ต้องยกยอกันจนเลิศเลอเลยแม้แต่น้อย

Filmsick.
1. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง

2. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย

3. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน

4. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก

5. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง

6. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ

7. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว

8. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ

9. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
10. ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ

11. ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง

12. จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต

13. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น

14. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร