วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนังโปรด 2 The old boy


ที่จริงแล้วมันควรเป็นแค่คืนฝนตกธรรมดาๆคืนหนึ่งของโอแตซู
เขาเมาอาละวาด ถูกจับมาโรงพัก
พอสงบสติอารมณ์ได้ก็รีบโทรหาลูกสาวบอกว่าซื้อปีกนางฟ้ามาให้เป็นของขวัญวันเกิด
แต่ใครจะเชื่อว่าหลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปชั่วกัปชั่วกัลป์
เมื่อเขาถูกลักพาตัวไปขังไว้ในห้องเล็กๆโดยมีเพียงทีวีเป็นเพื่อน
มองดูข่าวเมียตัวเองถูกฆ่าโดยมีตัวเองเป็นผู้ต้องหา
พยายามฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขียนบันทึกรายชื่อคนทั้งหมดที่เขาเคยก่อเรื่องไว้
บ้าคลั่งอยู่กับความแค้นเป็นเวลายาวนานถึง 15 ปี
แล้วจู่ๆวันหนึ่ง
เขาก็ถูกปล่อยตัวออกมาพร้อมกับเงินเต็มกระเป๋าและโทรศัพท์มือถือเครื่องหนึ่งและความแค้นแน่นอก
ออกตามหาคนที่ทำเขาอย่างไร้ทิศทาง
ได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวในร้านซูชิ
ตะลุยกับทุกผู้คนราวกับว่า เป็นปีศาจ
จนกระทั่งได้รับข้อเสนอจากคนที่จับเขาไปขังไว้
ให้ตามหาว่าทำไมเขาจึงต้องถูกจับมาขังภายใน 5วัน
ถ้าหาพบชายผู้นั้นจะฆ่าตัวตาย
แต่ถ้าไม่พบชายผู้นั้นจะฆ่าทุกคนที่เขารัก
จากนั้นหนังเต็มไปด้วยพลอตหักเหมากมายที่ไม่อาจเล่าได้
เพราะสิ่งที่สำคัญคือความช๊อคของคนดูจากเหตุการณ์ทั้งหมด
ก่อนจะแปรเป็นความหมองหม่นหดหู่เมื่อหนีงดำเนินมาถึงบทสรุป
................................................
และภายใต้ฉากหน้าของหนังแอคชั่นเลือดเดือด (ที่พนันได้ทันทีว่าต้องเลือดเดือดแน่เพราะสร้างจากการ์ตูนญี่ปุ่นชื่อเดียวกัน)
เลือดเดือดประมาณว่า มีฉากกินปลาหมึกสดๆ ถอนฟันด้วยค้อน ตัดลิ้น(แม้ฉากนี้จะไม่จะๆตาเท่ากับichi the killerแต่ก็ดีกรีความโหดก็ไม่ยิ่งหย่อน)
รวมไปถึงฉากแอคชั่นlong takeของพระเอกที่มีเพียงค้อนเป็นอาวุธ(แถมโดนมีดปักกลางหลังอีกต่างหาก)กับพวกนักเลงนับสิบ
หนังของ ปาร์ค ชัง วุก(ผู้กำกับ JSA และSympathy for Mr. Vengeance) เรื่องนี้กลับว่าด้วย
กับดักของความทรงจำ และผลพวงแห่งความคับแค้น
โดยมากกับมนุษย์ ความทรงจำมักมีแต่เรื่องสวยงาม
เพราะเวลาจะลบเลือนเลื่อนสลายทุกขมขื่นของชีวิต
เพื่อพอจะให้เราเดินต่อไปปข้างหน้าได้
แต่กับบางคน และความทรงจำเลวร้ายบางประเภท
เวลากลับทำหน้าที่ในการหมักบ่มให้ความทรงจำกลายเป็นความเกลียดชัง และความแค้น
ในช่วงแรกมุมมองของคนดูจะถูกเล่าในข้างของโอแตซู
ความแค้นที่ผ่านการหมักบ่มในห้องแคบ 15 ปีถูกถ่ายทอดให้คนดูรับรู้และเข้าข้างอย่างเต็มที่
30นาทีแรก เราแค้นไปพร้อมเขา
ฉากแอคชั่นในช่วงนั้นจึงเต็มไปด้วยความรุนแรงและความสะใจ
ก่อนที่เราจะได้รับรู้ความแค้นของวูจิน ศัตรูของแตซู
ความแค้นที่เกิดจากการหมักบ่มความทรงจำในระยะยาวเฉกเช่นกัน
และผลพวงแห่งความคับแค้นไม่ใช่อื่นใดนอกจากฉากแอคชั่นน่าสมเพชในช่วงท้ายของหนัง(ซึ่งต้องขอบคุณ ชอย มินซิก ที่เล่นได้แบบ-ถึง-จริงๆ)
ความทรงจำเหมือนกรงขัง
หนังขังตัวละคร(ผู้ติดกับความทรงจำ)ไว้ในห้องแคบๆตลอดเวลา
แน่ล่ะ 15ปีในห้องของแตซุ
และเช่นกันกับฉากอพาร์ทเมนท์สุดหรู(ที่ทุกอย่างเต็มไปด้วยกรอบสี่เหลี่ยม)ของวูจิน
แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อหนังต้องย้อนลึกเข้าไปในฉากแห่งความทรงจำนั้น
หนังกลับเลือกภาพสวยงามอ่อนนุ่ม(แม้แต่ฉากความตายยังอบอุ่นงดงามและเต็มด้วยความเข้าใจ)
ราวกับหนังจะบอกว่า ความทรงจำนั้นเป็นเรื่องดี แต่การยึดโยงอยู่กับมันกลับให้ผลในทางตรงกันข้าม
ในขณะที่ตัวละครมิโตะกลับต่างออกไป
มิโตะไม่มีความทรงจำใดๆให้ยึดโยง
เพราะแม้แต่กับเรื่องราวในชีวิตมันก็ยังดูคลุมเครือเลื่อนลอยและไม่สลักสำคัญอะไร
เธอมีเพียงแตซูเท่านั้นที่เป็นหลักยึด
และพร้อมจะใช้ชีวิตอยู่กับเขา(โทรไปลาออกจากร้าน ร่วมหัวจมท้ายไปกับเขารวมไปถึงชวนเขาหนีไปจากเรื่องทั้งหมด)ซึ่งเป็นเสมือนปัจจุบันของเธอ
ห้องของมิโตะจึงเต็มไปด้วยลวดลายสีสัน
และเธอจึงเป็นคนเดียวที่ไม่รู้-ความลับ-ทั้งหมด(ที่ไม่รู้จะดีกว่า)
และตลอดเวลาหนังพูดถึงการสะกดจิตอยู่หลายครั้ง
และหนังบอกเราว่าบางครั้งการสะกดจิตไม่ได้เกิดจากผู้อื่นสะกดจิตเราเสมอไป
มันเกิดจากการที่เราสะกดจิตตัวเองด้วยความทรงจำทับซ้อนที่บิดเบี้ยว
เราเลือกเชื่อในสิ่งที่อยากจะเชื่อ(เหมือนที่วูจินเชื่อ) และนั่นไม่ต่างอะไรกับการสะกดจิตตัวเอง
(คนดูเองก็ถูกสะกดจิตให้เชื่อในความแค้นของแตซูในช่วงแรกเช่นกัน)
และเมื่อบทสุดท้ายของหนังลงเอยด้วยการสะกดจิตอีกครั้ง
หนังก็หยิบประโยคเด็ดในเรื่องมาใช้ได้อย่างเหมาะเจาะ
-ไม่ว่าผมจะเลวเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ผมก็มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตไม่ใช่หรือ-
การอยู่กับความแค้นไม่ให้อะไรใคร การปลดปล่อย-ปีศาจ-ในตัวออกไปต่างหากที่จะทำให้เรามีชีวิตอยู่ได้
และนั่นคือวิธีการอยู่ร่วมกับมันอย่างสันติ ออกจากรงของความทรงจำจริงๆ(ไม่ใช่ออกไปเจอกรงของความแค้นที่ใหญ่กว่าเหมือนที่แตซูเจอในช่วงแรกของหนัง)
มีชีวิตเพื่อวันข้างหน้าที่มันต้องดีกว่าเดิม ถูกต้องกว่าเดิม (Flim sick)